[แปล] Touken Ranbu – ประวัติดาบ: Hotarumaru

แปลและเรียบเรียงจาก: Sesko, M. (2011). Legends and Stories around the Japanese Sword, pp.82-83. Norderstedt: Book on Demand GmbH.

เรื่องเล่ายังคงอยู่ที่ความวุ่นวายในต้นสมัยนันโบคุโจ เดือนสามของปีเคนมุที่สาม (1336) สี่เดือนหลังศึกที่ช่องเขาฮาโกเนะ อะชิคางะ ทาคาอุจิถูกไล่ต้อนไปติดอยู่ที่คิวชูด้วยฝีมือของกองกำลังผสมของนิตตะ โยชิซาดะและคุสุโนคิ มาซาชิเงะหลังจากที่ยกทัพเข้ามายังเกียวโตและได้สูญเสียที่มั่นในเมืองหลวงไปในเวลาอันสั้น กองกำลังพันกว่านายของทาคาอุจิพ่ายให้กับกองกำลังที่เหนือกว่าของพันธมิตรโกะไดโกะที่ตอนท้ายของทาทาระ (อ่าวฮาคาตะ จังหวัดฟุคุโอกะในปัจจุบัน) ที่เดียวกับที่ครั้งหนึ่งพวกมองโกลเคยเดินทางมาถึง กลุ่มพันธมิตรผู้ภักดีต่อจักรพรรดินำโดยทาเคโทคิ (?-1341) น้องชายของคิคุจิ ทาเคชิเงะ (1307-1338) ติดตามมาด้วยอะโซ โคเรสึมิ (1309-1364) แห่งตระกูลอะโซ ตระกูลอะโซ เช่นเดียวกับตระกูลคิคุจิ เป็นตระกูลที่ภักดีต่อจักรพรรดิมาตั้งแต่สมัยก่อน

ตั้งแต่เริ่มแรกของการรบ กลุ่มพันธมิตรก็สามารถป่วนกระบวนทัพของทาคาอุจิและแยกทัพออกจากกันได้สำเร็จ ชั่วขณะหนึ่ง ชัยชนะเหมือนกับเป็นของพวกเขา ทว่าลมทิศอุดรก็เกิดพัดกรรโชกกลืนกองทัพของทาเคโทคิด้วยม่านทรายบดบังทัศนียภาพทั้งหมด ซ้ำร้ายทหารบางนายยังไม่เข้ากับฝ่ายศัตรู และนั่นคือจุดจบอันแสนวินาศของชัยชนะของกลุ่มพันธมิตรและชัยชนะของทาคาอุจิ ทาคาอุจิสามารถใช้ยุทธการ “เปลี่ยนฝ่าย” ได้เพราะนอกเหนือจากพวกคิคุจิและอะโซแล้ว สมาชิกอื่นในกลุ่มพันธมิตรเป็นประเภทที่ชอบรอดูก่อน และยังไม่ได้เห็นด้วยไปซะหมดกับโกไดโกะ อะโซ โคเรสึมิ ผู้ซึ่งโคเรนาโอะพี่ชายตายในสมรภูมิรบ ซวนเซกลับไปยังดินแดนของตัวเองที่ตีนเขาอะโซ โอดาจิของเขาที่ตีโดยไร คุนิโทชิซึ่งเป็นดาบยาวมากกว่าหนึ่งเมตรได้รับความเสียหายจากการใช้งานอย่างหนักระหว่างโคเรสึมิฟาดฟันกับศัตรู ด้วยความเหนื่อยอ่อน เขาล้มตัวลงนอนและหลับไปอย่างรวดเร็ว และเกิดความฝันประหลาดหนึ่ง มีหิ่งห้อยจำนวนมาก ผิดกับช่วงเวลานั้นของปี บินมาเกาะที่ดาบไร คุนิโทชิ ดาบทั้งเล่มเรืองแสงในความมืดของรัตติกาล โคเรสึมิหลับลึกจนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยความประหลาดใจกับความฝัน เขาชักดาบออกทันที และเขาก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง รอยบิ่นหักบนด้านคม (เรียกกันว่าฮาโคโบเระ) หายไปหมดสิ้น ในฐานะหัวหน้าตระกูลอะโซ โคเรสึมิยังถือตำแหน่งนักบวชสูงสุด (ไดกูชิ) ของศาลเจ้าอะโซ และดาบเล่มนั้นก็ถูกเก็บเอาไว้ที่ศาลเจ้าในฐานะสมบัติประจำตระกูลมาหลายยุคหลายสมัย ในนามของ “โฮตารุมารุ”

ในปี 1931 โฮตารุมารุ ถูกส่งมอบให้กระทรวงวัฒนธรรมโดยอะโซ ทสึเนมารุ ผู้นำตระกูลในขณะนั้น และได้กลายมาเป็นสมบัติชาติญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ดาบได้สูญหายไปเนื่องด้วยน้ำมือของกลุ่ม “ล่าดาบ” ของพวกกองกำลังที่เข้ามารุกราน มีข่าวลือว่า ดาบอาจยังคงอยู่ในคอลเลคชันสะสมส่วนตัวที่ใดที่หนึ่งในญี่ปุ่น แต่เป็นไปได้มากว่าอาจถูกทำลายไปแล้ว เหมือนดังเช่นดาบเล่มอื่นๆ

เคราะห์ดีที่เรายังมีภาพวาดของดาบซึ่งถูกพิมพ์ในชูโคจูชู แคตตาล๊อควัตถุโบราณ 85 เล่มที่ประกอบด้วยหมวดหมู่มากกว่าสิบหมวด ที่ถูกจัดทำขึ้นในปีคันเซที่สิบสอง (1800) โดยมัตสึไดระ ซาดาโนบุ (1759-1829) ไดเมียวแห่งชิราคาวะในตอนนั้น

FullSizeRender

Leave a comment