แปลและเรียบเรียงจาก: Sesko, M. (2011). Legends and Stories around the Japanese Sword, pp.105-111. Norderstedt: Book on Demand GmbH.
หมายเหตุ: ประวัติฉบับนี้ได้เล่าว่า ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระเป็นดาบเล่มที่จินซาเอมอนใช้ปราบแม่มดยามัมบะ โดยดาบต้นแบบคือดาบที่ตีโดยโชงิซึ่งเป็นศิษย์ของมาซามุเนะ ซึ่งต่างกับในเกมที่ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระกล่าวว่าตัวเองเป็นดาบเลียนแบบดาบยามัมบะกิริอีกที ซึ่งในส่วนของเรื่องเล่าตรงนี้ ทางผู้แปลจะทำการตรวจสอบกับหนังสืออ้างอิงฉบับภาษาญี่ปุ่นอีกทีหนึ่ง
Edit: จากการตรวจสอบข้อมูลจากหนังสือภาษาญี่ปุ่นอีกสองเล่ม คือ 物語で読む日本刀の刀剣150และ Nihontou to Bushi – sono shirarezaru odoroki no jinsei พบว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับการฆ่าแม่มดยามัมบะมีแตกออกเป็นสองแขนง คือ
1. ดาบที่ตีโดยโชงิได้ถูกนำไปใช้ฆ่าแม่มดยามัมบะ จึงได้ชื่อว่ายามัมบะกิริ และยามัมบะกิริ คุนิฮิโระเป็นของเลียนแบบ
2. เรื่องราวเป็นดังประวัติที่ผู้แปลได้แปลว่าด้านล่าง ซึ่งดาบที่ตีโดยโชงิไม่ได้มีชื่อว่ายามัมบะกิริ ส่วนดาบเลียนแบบดาบของโชงิได้นำไปใช้ฆ่าแม่มดยามัมบะ จึงได้ชื่อว่า ยามัมบะกิริ คุนิฮิโระ
ทั้งนี้ เนื่องจากตัวเกมเน้นประวัติที่น่าสนใจของดาบแต่ละเล่ม (เช่นประวัติทสึรุมารุที่ความจริงแล้วเรื่องเหตุการณ์ชิโมทสึกิไม่ตรงกับปีที่อาดาจิตาย) รวมไปถึงข้อมูลที่น่าสนใจในการสร้างคาแรกเตอร์ จึงสันนิษฐานว่าตัวเกมอ้างอิงคาแรกเตอร์ยามัมบะจากข้อมูลในแบบแรก
Yamanbagiri Kunihiro
เรื่องต่อไปนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากช่างตีดาบนามคุนิฮิโระซึ่งในเวลาต่อมาเป็นผู้สถาปนาโรงเรียนตีดาบสายโฮริคาวะที่ประสบความสำเร็จในเขตโฮริคาวะที่เกียวโต และได้กลายมาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสายดาบ “ชินโต*” หรือ “ดาบใหม่” คุนิฮิโระ หรือชื่อสามัญ ทานากะ คินทาโร่ (1531?-1614) ไม่ได้เป็นเพียงช่างตีดาบแต่ยังเป็นซามูไรรับใช้ตระกูลอิโตซึ่งปกครองมณฑลฮิวงะที่คิวชู หลังจากตระกูลอิโตล่มสลายในปี 1577 คุนิฮิโระออกเดินทางในฐานะช่างตีดาบผ่านหลายจังหวัดในคิวชู จนกระทั่งไปปรากฎตัวที่โรงเรียนอะชิคางะอันโด่งดังในจังหวัดชิโมทสึเคะในปีเทนโชที่ 18 (1590) ตามบันทึกแล้ว โรงเรียนอะชิคางะมีมาตั้งแต่ต้นยุคเฮอันและด้วยจำนนวนนักเรียนมากกว่า 3000 คนในปลายยุคมุโรมาจิ ถือเป็นสถานศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ทว่า ด้วยเหตุผลใดจึงทำให้คุนิฮิโระเดินทางจากคิวชูมายังเขตคันโตตะวันออก ว่ากันว่าเขาหาที่หลบภัยจากความวุ่นวายที่ยังไม่สงบที่คิวชู นอกจากนี้ พระในพระพุทธศาสนานามโซกิน ผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำของสถานศึกษาในขณะนั้นยังมาจากเขตอิโตอีกด้วย โซกินได้เข้ามาบริหารโรงเรียนในปี 1579 และเป็นไปได้ว่าทั้งคู่น่าจะรู้จักกันอยู่ก่อนตั้งแต่สมัยยังอยู่ที่คิวชู